บทที่ 7
สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ
7.1
สรุปผลการศึกษา
ตึกสูงในปัจจุบันนั้นล้วนแต่มีการพัฒนาด้านโครงสร้างที่ทันสมัย
และมีความสูงชะลูด เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ก็มีการทำอาคารที่สูงขึ้น
ทั้งที่เพื่อเป็นที่พักอาศัย ทำธุรกิจ หรือ อสังหาริมทรัพย์
ด้วยค่าที่ดินที่สูงขึ้นในย่านเศรษฐกิจ ทำให้การก่อสร้างอาคารต้องทำในทิศสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก
ทำให้อาคารสูงมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อแรงกระทำทางด้านข้าง ซึ่งก็คือ แรงลม
ได้มีงานวิจัยและการพัฒนาอย่างยิ่งสำหรับ
การออกแบบอาคารที่ต้องคำนึงถึงแรงลม ทั้งที่เป็นทฤษฎี และการทดสอบในอุโมงค์ลม
จากแบบจำลอง รวมถึงได้มีการวิเคราะห์ทางพลศาสตร์ต่าง ๆ
ที่ทำให้สามารถลดผลกระทบของแรงลมที่มีต่ออาคารสูงได้
เช่นการปรับแต่งรูปทรงอาคารที่ทำให้ลมที่ผ่านตึกนั้นมีการไหลแบบราบเรียบ
ไม่กีดขวางเส้นทางการไหลของลม เฉกเช่น
การว่ายน้ำที่ต้องอาศัยการทำร่างกายให้เปรียบเสมือนการไหลไปกับลำน้ำ
ซึ่งจะช่วยทั้งการผ่อนแรง และทำให้ไปได้เร็วขึ้น
การออกแบบอาคารสูงเพื่อต้านทานแรงลมนั้น ต้องอาศัยการออกแบบในหลาย ๆ
ส่วนให้มีความสอดคล้องเหมาะสม และต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสภาพภูมิประเทศ
ความเร็วลม ในเขตเมือง ความต้องการในการใช้อาคาร การออกแบบของสถาปนิก
ซึ่งเราต้องเข้าใจและต้องทราบว่าจะต้องเลือกรูปแบบอาคารเช่นไร
ปกติรูปทรงอาคารที่ใช้กันโดยทั่วไป จะมีลักษณะเป็น รูปทรงสี่เหลี่ยม
ซึ่งหากแรงลมที่มาปะทะกับรูปทรงเช่นนี้จะทำให้เกิดแรงต้านที่มากขึ้นเพราะกระแสของลมไหลไม่สะดวก
ดังนั้นการปรับแต่งรูปทรงอาคาร โดยการตัดมุม เพิ่มช่องเพื่อให้ลมผ่าน เป็นต้น
อีกหนทางหนึ่งซึ่งใช้ในการออกแบบอาคารก็คือการเลือกระบบโครงสร้างอาคารสูงที่มีความแข็งแรงสามารถต้านทานแรงลมได้ดี
ระบบโครงสร้างนี้ขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบและเจ้าของว่าต้องการแบบใด อย่างไรก็ตาม
การออกแบบยังจำเป็นต้องทดสอบในอุโมงค์ลมเสมอ
เพราะจะได้ทราบถึงลักษณะการไหลและจุดอ่อนของโครงสร้างเพื่อหาทางแก้ไขให้โครงสร้างมีความสมบูรณ์แข็งแรง
ยังไม่เพียงเท่านั้น นอกจากจะมีทั้งการปรับแต่งรูปทรง
และการเลือกระบบโครงสร้างแล้ว การเพิ่มความหน่วงให้กับอาคาร
ยังเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้การรับแรงทางด้านข้างเป็นไปอย่างดี
เพราะแรงลมที่มีกระทำกับอาคารนั้นไม่ได้มาโดยสม่ำเสมอ
แต่การคำนวณเราจะสมมติฐานให้มีความสม่ำเสมอ ดังนั้น
การปรับแต่งรูปทรงอาคารและการเลือกระบบโครงสร้างเป็นเรื่องที่
ไม่สามารถแก้ไขได้หากได้ก่อสร้างไปเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งตัวหน่วงนี้จะช่วยในการลดการสั่นไหวของอาคารลงได้
เนื่องจากทฤษฎีพลศาสตร์เข้ามาช่วย จะมีทั้งกระบวนการที่เป็นการควบคุมเชิงรุก
และการควบคุมเชิงรับ
โดยส่วนใหญ่จะใช้การออกแบบชนิดการควบคุมเชิงรับเพราะเราสามารถดูดซับแรงที่มากระทำได้หลายระดับ
ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบ โดยทั่วไปการใช้การควบคุมเชิงรับจะมีสองระบบซึ่งใช้มวลหน่วง
และของเหลวหน่วง ซึ่งมวลหน่วงที่ใช้นั้นจะใช้สัดส่วนมวลที่เหมาะสม
ปกติเราใช้มวล 1
– 2 % ของน้ำหนักทั้งหมดของอาคาร (วิโรจน์, 2555)
สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ
ตัวเราล้วนมีความถี่ของมันเองซึ่งเราเรียกว่าความถี่ธรรมชาติ
อาคารก็มีความถี่ธรรมชาติ
หากอาคารซึ่งได้รับความถี่ที่พ้องต่อกันจะทำให้เกิดการพังทลายของโครงสร้างได้
การเพิ่มความหน่วงให้กับอาคารจะทำให้ดูดซับความถี่นั้นลงได้ทำให้อาคารไม่สั่นไหวจนเกินไปและผู้ที่อยู่ในอาคารรูปสึกถึงการสั่นไหวน้อยลง
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างโดยรวมของอาคารไม่ว่าจะเป็นอาคารสูง
หรืออาคารเตี้ยหรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ล้วนมีปัจจัยและผลของแรง หลากหลายที่มา
ดังนั้นเราจึงต้องคำนึงถึง การออกแบบและการก่อสร้าง ให้รอบคอบ
อีกทั้งการเลือกวัสดุที่มีคุณลักษณะด้านการรับกำลัง น้ำหนัก คุณสมบัติ ทางกายภาพ
คุณภาพ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งจำเป็น
อีกทั้งเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ค่าจ้างแรงงาน
รวมถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการอีกด้วย
จากการศึกษา
ดังกล่าว ผู้จัดทำได้ นำเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ไปเก็บไว้ที่ฐานข้อมูล
ซึ่งในปัจจุบันนี้คอมพิวเตอร์และระบบอินเตอร์เน็ต มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ง่าย
และรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งการแสวงหาความรู้ก็สะดวกยิ่งขึ้น
ดังนั้นผู้จัดทำจึงได้นำ Blogger มาใช้และใช้การเชื่อมต่อทางสังคมออนไลน์เพื่อให้ง่ายและเป็นการเผยแพร่ความรู้ต่าง
ๆ ที่ได้ศึกษามา เพื่อให้คนที่สนใจสามารถนำไปศึกษาได้